เคพีเอ็มจี ในประเทศไทย เผยตลาด M&A ในไทยยังคงดำเนินต่อไป แม้นักลงทุนต้องเผชิญความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก

ตลาด M&A ในประเทศไทยมีความซับซ้อนและมีกลยุทธ์มากขึ้น หนุนศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจโลกผันผวน

ตลาด M&A ในประเทศไทยมีความซับซ้อนและมีกลยุทธ์มากขึ้น หนุนศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง...

EN | TH

ประเด็นสำคัญ

  • ตลาดการควบรวมกิจการ (Mergers and acquisitions: M&A) ของไทย มีความซับซ้อนที่มากยิ่งขึ้น มีการใช้รูปแบบอัตราการชำระมูลค่ากิจการตามผลการดำเนินงานของผู้ขาย (earn-out) และโครงสร้างการควบรวมกิจการที่ซับซ้อน เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงและรับมือกับความไม่แน่นอนในปัจจุบัน
  • บริษัทต่างๆ ให้ความสำคัญกับการให้เวลาและการวางกลยุทธ์ทางธุรกิจร่วมกันก่อนการควบรวมกิจการมากขึ้น โดยการวางแผนธุรกิจร่วมกันอย่างรัดกุมและละเอียดรอบคอบ กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ส่งผลให้การควบรวมกิจการประสบความสำเร็จด้วยดี
  • ผู้ตอบแบบสำรวจกว่าร้อยละ 84 วางแผนที่จะเข้าซื้อกิจการในประเทศไทยอย่างน้อยหนึ่งครั้งในอีก 5 ปีข้างหน้า และหนึ่งในสามของผู้ตอบแบบสำรวจเผยว่ามีแผนที่จะดำเนินการควบรวมกิจการอย่างน้อยสี่ครั้ง

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย, 25 มิถุนายน 2568 – เคพีเอ็มจี ประเทศไทย เผยรายงาน “Doing deals in Thailand 2025” ซึ่งเป็นผลสำรวจเชิงลึกเกี่ยวกับการควบรวมกิจการในประเทศไทย ผลการสำรวจเเสดงให้เห็นว่าภูมิทัศน์ของตลาด M&A ในประเทศไทยนั้นได้พัฒนาไปสู่สภาพแวดล้อมที่มีความซับซ้อนและดำเนินการอย่างมีกลยุทธ์มากขึ้น ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพให้ประเทศไทยพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจระดับโลกก็ตาม นักลงทุนและผู้ประกอบการต่างก็สามารถปรับตัวและรับมือกับโครงสร้างการควบรวมกิจการที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงและส่งเสริมให้การควบรวมกิจการสำเร็จลุล่วง และยังคงให้ความสนใจในการควบรวมกิจการอย่างต่อเนื่อง

รายงาน "Doing Deals in Thailand 2025" เป็นการสำรวจภาพรวมตลาดการควบรวมและซื้อกิจการในประเทศไทยฉบับที่สอง ต่อเนื่องจากฉบับปฐมฤกษ์ที่จัดทำขึ้นในปี 2562 ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อติดตามแนวโน้มของตลาดที่เปลี่ยนแปลงตามเศรษฐกิจไทยที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รายงานฉบับนี้ถ่ายทอดมุมมองของผู้ที่มีส่วนร่วมกับในการควบรวมกิจการ ที่กล่าวถึงโอกาส ความท้าทาย และกลยุทธ์ในการลงทุน ในช่วงหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีผู้ตอบแบบสำรวจจากหลากหลายสายงาน ได้แก่ การพัฒนาธุรกิจ การเงินและบัญชี การวิเคราะห์การลงทุน การวางแผนกลยุทธ์ขององค์กร และผู้บริหารระดับสูงจากหลายอุตสาหกรรม

ผลการสำรวจดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยยังคงมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำดีลควบรวมกิจการ แม้จะมีความซับซ้อนและความไม่แน่นอนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การเจรจาและการดำเนินการควบรวมกิจการใช้เวลานานขึ้น เนื่องจากนักลงทุนให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอย่างครอบคลุมมากขึ้น โดยเกือบครึ่งหนึ่งของการควบรวมกิจการในปัจจุบันใช้เวลามากกว่าหนึ่งปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 38 ในปี 2562 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า นักลงุทนมีการวิเคราะห์เกี่ยวกับความสอดคล้องเชิง

กลยุทธ์ การวางแผนธุรกิจ และการตรวจสอบสถานะของกิจการ (due diligence) อย่างละเอียดรัดกุมมากขึ้นก่อนการตัดสินใจซื้อขายกิจการ

สำหรับปัจจัยที่ผลักดันให้เกิดการควบรวมกิจการนั้น ผลสำรวจยังเผยว่า แรงจูงใจหลักของดีลควบรวมกิจการในประเทศไทยกว่าสองในสาม มาจากความต้องการการขยายธุรกิจสู่ตลาดใหม่ มีเพียงร้อยละ 18 ที่มุ่งเน้นการเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด และร้อยละ 16 ที่ต้องการต่อยอดธุรกิจด้วยการเข้าซื้อซัพพลายเออร์หรือลูกค้า แม้ว่าการตรวจสอบสถานะของกิจการทั้งด้านการเงิน ภาษี และกฎหมาย จะยังคงเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด แต่ปัจจุบันการตรวจสอบดังกล่าวได้ขยายขอบเขต ให้ครอบคลุมการประเมินด้านการค้า การดำเนินงานในองค์กร ทรัพยากรบุคคล และเทคโนโลยีสารสนเทศ ในขณะเดียวกัน ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ก็เริ่มมีบทบาทเพิ่มมากขึ้น โดยร้อยละ 73 ของผู้ตอบแบบสำรวจ ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมในระดับปานกลางถึงสูง

ในส่วนแหล่งเงินทุนในธุรกรรมการควบรวมและซื้อกิจการ ผลสำรวจพบว่า เงินสดสำรองของบริษัทยังคงเป็นแหล่งเงินทุนหลัก ซึ่งสะท้อนถึงแนวทางการลงทุนที่รอบคอบรัดกุม ภายหลังยุคโควิด-19 ขณะเดียวกันก็เป็นสัญญาณชี้ให้เห็นว่าบริษัทต่างๆ ยังคงมีศักยภาพในการขยายลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ บทบาทของกองทุนสินเชื่อภาคเอกชน (private credit funds) ที่เพิ่มมากขึ้นในระดับภูมิภาคจะช่วยเสริมสภาพคล่องในตลาด และสร้างโอกาสให้เกิดการควบรวมกิจการ และการลงทุนที่มีโครงสร้างซับซ้อนได้มากขึ้นในหลากหลายอุตสาหกรรม


สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือการที่ผู้นำธุรกิจสามารถรับมือกับความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งปรับแนวทางในการดำเนินงานเพื่อให้สามารถขับเคลื่อนกลยุทธ์การควบรวมกิจการและการลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง คณะผู้บริหารยังคงให้ความสำคัญกับการหาช่องทางให้องค์กรเติบโตต่อไป และการควบรวมและซื้อกิจการ ก็ยังคงเป็นแนวทางที่สำคัญที่สุดในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว” “ปัจจุบัน เราเห็นสภาพแวดล้อมการควบรวมและซื้อกิจการที่มีความซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงการวิเคราะห์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างรอบด้าน ด้วยเหตุนี้ เคพีเอ็มจีจึงได้พัฒนาแนวทางการทำงานแบบบูรณาการ ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านกลยุทธ์และการปฏิรูปองค์กรเข้ามาทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อสนับสนุนกลยุทธ์การเติบโตตั้งแต่ก่อนเข้าสู่กระบวนการควบรวมกิจการ ไปจนถึงหลังจากที่ดีลเสร็จสิ้น เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถรับมือกับความซับซ้อนและบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่วางไว้ได้


เอียน ธอร์นฮิลล์
หุ้นส่วน และหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการซื้อขายกิจการ
เคพีเอ็มจี ประเทศไทย


โดยสรุปแล้ว ธุรกิจไทยมีความพร้อมอย่างยิ่งที่จะคว้าโอกาสจากการควบรวมกิจการที่ยังคงเติบโตอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจาก การปรับโครงสร้างธุรกิจ การสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ และการประเมินมูลค่ากิจการที่สมเหตุสมผลยิ่งขึ้นภายหลังจากที่ตลาดเริ่มมีเสถียรภาพ แม้จะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งเป็นจุดหมายการลงทุนที่น่าจับตามองในระดับภูมิภาค แต่ด้วยปัจจัยได้เปรียบทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอาเซียน และคุณภาพของแรงงาน ทำให้ประเทศไทยยังคงสามารถดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนได้ในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต เทคโนโลยีสารสนเทศ สุขภาพ สินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยแนวคิดด้านความยั่งยืน ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถอ่านหรือดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็ม "Doing Deals in Thailand 2025" ได้ที่:
https://kpmg.com/th/en/home/insights/2025/06/doing-deals-in-thailand-2025.html

เกี่ยวกับรายงาน Doing Deals in Thailand

รายงานฉบับนี้เป็นการสำรวจเชิงลึกเกี่ยวกับภูมิทัศน์การควบรวมกิจการในประเทศไทย จากการสำรวจและสัมภาษณ์ผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญด้านการควบรวมกิจการจากทุกอุตสาหกรรม โดยมีผู้เชี่ยวชาญอาวุโสฝ่ายที่ปรึกษาการซื้อขายกิจการ เคพีเอ็มจี ประเทศไทย ได้แบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับตลาดและแนวโน้มเกี่ยวกับการควบรวมกิจการในอนาคต

เกี่ยวกับเคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล

เคพีเอ็มจี เป็นเครือข่ายระดับโลกของบริษัทที่ให้บริการสอบบัญชี ภาษี และที่ปรึกษาธุรกิจ เคพีเอ็มจี เป็นแบรนด์ภายใต้บริษัทสมาชิกของ เคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (“เคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล”) ดำเนินการและให้บริการอย่างมืออาชีพ “เคพีเอ็มจี” ใช้เพื่ออ้างถึงบริษัทสมาชิกแต่ละแห่งภายในเครือข่าย เคพีเอ็มจี หรือบริษัทสมาชิกหนึ่งหรือหลายบริษัทรวมกัน

เครือข่าย เคพีเอ็มจี ดำเนินงานใน 142 ประเทศ และเขตการปกครอง โดยมีหุ้นส่วนและพนักงานมากกว่า 275,000 คน

บริษัท เคพีเอ็มจี แต่ละแห่งเป็นนิติบุคคลที่แตกต่างกัน และแยกจากกันตามกฎหมาย บริษัทสมาชิก เคพีเอ็มจี แต่ละแห่งมีหน้าที่รับผิดชอบและหนี้สินของตนเอง

เคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นบริษัทเอกชน ในประเทศอังกฤษ โดยการรับประกัน เคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ให้บริการแก่ลูกค้า
ท่านสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสร้างองค์กรได้ที่ kpmg.com/governance

เกี่ยวกับ เคพีเอ็มจี ประเทศไทย

เคพีเอ็มจี ประเทศไทย มีพนักงานมากกว่า 2,500 คน ซึ่งให้บริการด้านการสอบบัญชีและการให้ความเชื่อมั่นอื่น ภาษี กฎหมายและให้คำปรึกษาทางธุรกิจ เคพีเอ็มจี ประเทศไทยเป็นสมาชิกของ เครือข่ายเคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นองค์กร เอกชน จำกัด ในอังกฤษ

สำหรับสื่อมวลชน กรุณาติดต่อ:

ศศิพิมพ์ คูดิษฐาเลิศ
อีเมล: sasiphim@kpmg.co.th